ประเภทของหญ้าทีใช้ปูสนาม
ที่นิยมมี
4 ประเภท
1.หญ้าญี่ปุ่น
หญ้าญี่ปุ่น มี 2 ชนิด
1. ชนิดใบกว้าง จะมีใบประมาณ 4 มิลลิเมตร
2. ชนิดใบกลม ใบเล็กและละเอียดกว่า ซึ่งเป็นที่นิยมปลูกในประเทศไทยมาก
ใบใบสีเขียวเข้ม
ใบเล็กละเอียดกลมแข็ง ปลายใบแข็งและแข็งกระด้างเวลาสัมผัสจะระคายผิวหนัง ขอบใบเรียบไม่มีขน
หญ้าญี่ปุ่นนี้ ต้องการน้ำมาก และการเจริญเติบโดช้า
ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีกว่าจะขึ้นเต็มสนาม ถ้าแห้งแล้งนาน ๆ
หรือขาดน้ำใบจะเหลืองทันที เป็นหญ้าที่ทนต่อการเหยิบย่ำพอสมควร
และไม่ค่อยยืดหยุ่นตัวเหมือนหญ้านวลน้อย หญ้าญี่ปุ่นนี้เจริญเติบโตช้า
แต่เมื่อขึ้นแล้วจะหนาแน่นมาก ขึ้นคลุมดินวัชพืชไม่สามารถขึ้นแข่งได้
การแต่งไม่บ่อยนัก เพราะเจริญเติบโตช้า ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ ก็จะเป็นกระจุก
การตัดแต่งลำบาก หญ้าญี่ปุ่นเป็นพันธุ์หญ้าที่ไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก
ทนต่ออากาศหนาวได้ดี หญ้าญี่ปุ่นมีใบสีเขียวเข้ม ใบเล็กละเอียดปลายใบแข็งกระด้าง
ขอบใบเรียบและไม่มีขน เหมาะแก่การปลูกสวนหย่อมและพื้นที่ไม่กว้างนัก การตัดแต่ง เนื่องจากหญ้าญี่ปุ่นมีลำต้นและใบแข็งกระด้างมาก
ดังนั้นการใช้เครื่องตัดหญ้า ต้องมีกำลังสูง และมีใบมีด ที่คมมาก ข้อดี
เป็นหญ้าที่เล็กมองดูแล้วสวยงามดี
เหมาะสำหรับปลูกเป็นสวนหย่อม และพื้นที่ก็ควรไม่กว้างมากนัก และใช้ปลูกในบริเวณ
ที่เป็นทางเข้าได้ดี เพราะสามารถป้องกัน และควบคุมไม่ให้บุกรุกบน ทางเท้า
ได้ง่ายกว่าหญ้าชนิดอื่น
ข้อจำกัด ใบหญ้าจะแข็งกระด้าง
และปลายใบเล็กเรียวแหลม ทิ่มตำระคายผิวหนัง การตัดลำบากและกินแรงมาก
2.หญ้านวลน้อย
หญ้านวลน้อย
เป็นพันธุ์หญ้าที่ทนต่อภูมิอากาศที่ดีที่สุดมีความอ่อนนุ่ม นวลน้อยชอบแสดงแดดจัดไม่ทนต่อสภาพร่มไม่มีแดดทนต่อการเหยียบย่ำได้ดีจึงเป็นหญ้าที่นิยมมาปูสนาม
นวลน้อยเป็นหญ้าที่นิยมปลูกกันมากสามารถขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกชนิด
3. หญ้ามาเลเซีย หญ้ามาเลเซีย เป็นพันธุ์หญ้าที่ชอบอยู่ในที่ร่มชื้นเป็นหญ้าที่ไม่ต้องเอาใจใส่มากนักเพราะไม่ต้องตัดบ่อยๆ
เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา
หญ้ามาเลเซียเป็นหญ้าที่ใช้จัดสวนและปูสนามหญ้าเหมือนกับหญ้าชนิดอื่นๆ
โดยเฉพาะในที่ร่ม หญ้ามาเลเซียเป็นหญ้าที่ต้องการน้ำมากและเป็นหญ้าที่เหยียบย่ำมากๆ
ไม่ได้หญ้ามาเลย์มีใบสีเขียวเข้ม มีขนาดใบใหญ่กว่าหญ้าอื่นๆ และแบนมีขนเล็กๆ
4.หญ้าเบอร์มิวด้า
หญ้าเบอร์มิวด้า
เป็นพันธุ์หญ้าที่ทนต่อความร้อนและแห้งจะทนแล้งได้นานๆ เมื่อขาดน้ำก็ไม่เป็นไร
และทนต่อน้ำท่วมได้ดี หญ้าเบอร์มิวด้าเป็นหญ้าที่สวยงามมีใบละเอียดนิ่มทนต่อการเหยียบย่ำฟื้นตัวได้ดี
เหมาะแก่การทำสนามกอล์ฟแต่ไม่นิยมทำสนามฟุตบอล ปลูกง่ายแข็งแรงทนทาน
ลำต้นประสานงานกันแน่นใบเขียวเข้มนิยมปลูกกันในสนามกอล์ฟ สวนสาธารณะ
หมายเหตุ
ถ้าหน้าบ้านถูกแดดตลอดวัน
ขอแนะนำให้ปลูกหญ้าญี่ปุ่น เพราะชอบแดด ถ้าสนามถูกแดดจัดตลอดวัน หญ้านวลน้อยเหมาะมาก แต่ถ้ามีร่มเงาของต้นไม้หรือตัวบ้าน
ควรปลูกหญ้ามาเลเซีย
ลักษณะหญ้านวลน้อย
หญ้านวลน้อย
เป็นหญ้าพื้นเมืองของไทย เป็นหญ้า ที่นิยมปลูกกันมาก สามารถขึ้นได้ดีในดิน
เกือบทุก ชนิด ไม่ว่าจะเป็นดินเหนียว หรือดินปนทราย และยัง
ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ดีได้ง่าย นอกจากนี้ ยังทนต่อร้อนและแห้งแล้ง
หรือที่น้ำท่วมขังแฉะ ได้เป็นครั้งคราว จึงนิยมปลูกกันมาก
เป็นหญ้าที่จัดอยู่ในประเภทใกล้เคียงกับหญ้าญี่ปุ่น
แต่มีใบกว้างกว่า และการเจริญเติบโตเร็วกว่า ใบไม่แข็งกระด้าง เหมือนหญ้าญี่ปุ่น
หญ้าชนิดนี้ ขึ้นง่าย และเจริญเติบโต เป็นแผ่นได้เร็วพอสมควร แต่ช่อดอกค่อนข้างยาว
และเห็นได้ชัด ซึ่งจะขอกล่าวถึง ลักษณะต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1.
ลำต้น จะตั้งและแข็งแรง มีลำต้นใต้ดินมาก ปลูกง่ายแตกกอได้เร็ว มีปล้องสั้น
และลำต้นยืดหยุ่นตัวดี
2.
ใบ มีขนาดปานกลาง สีเขียวอ่อน ใบจะยืดหยุ่นตัวดีเช่นกันในเวลาที่เหยียบย่ำ เวลาเดินแล้วจะนุ่มเท้า
ขึ้นคลุมดินได้แน่นดี ใบนุ่มกว่าหญ้าญี่ปุ่น และไม่ระคายผิวหนัง
เมื่อตัดเรียบร้อยแล้วดูกล้ายพรม
3.
ช่อดอก ค่อนข้างยาว และดอกมีสีน้ำตาลดำเห็นได้ชัดในเวลาออกดอก
หญ้านวลน้อยนี้
ชอบขึ้นในที่กลางแจ้ง แต่ในที่ร่มมีแดดพอเพียงก็สามารถขึ้นได้
ถ้าไม่ตัดหญ้านี้เลยจะสูงประมาณ 6 นิ้ว เป็นหญ้าที่ทนต่อ การเหยียบย่ำ ทนต่อความแห้งแล้งหรือน้ำขังแฉะเป็นครั้งคราว
ตลอดจนทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดี แต่ในฤดูแล้งต้อง หมั่นรดน้ำ
อยู่เสมอมิฉะนั้นใบจะเหลืองแต่ไม่ถึงตาย นอกจากนี้ทนต่อดินเค็มได้บ้าง
รวมทั้งยังต้านทานต่อโรงแมลงได้ดี
ใช้ทำสนามหญ้าทั่วไป
เช่น สนามกีฬา สนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ สถานที่ราชการ สวนหย่อมในบริเวณบ้าน โรงแรม
สวนอาหาร บริษัทร้านห้างใหญ่ ๆ ในสนามกอล์ฟ ใช้ทำกริน (Green) ซึ่งเป็นที่ตีลูกกอล์ฟลงหลุม ใช้ทำบริเวณ (Tee) ซึ่งเป็นที่เริ่มต้นตีกอล์ฟ
ตลอดจนปลูกบนทางตีกอล์ฟ (Fair
Wap) นอกจากนี้ยังใช้ในการจัดสวนทั่ว
ๆ ไป เพราะเป็นหญ้าที่ทนการเหยียบย่ำ รวมทั้งเป็นหญ้าที่ดูแลรักษาง่าย
กว่าหญ้าชนิดอื่น ๆ ถึงแม้จะปล่อยปละ ละเลยไปบ้าง เมื่อกลับมาดูแลรักษาใหม่
ก็ยังจะได้สนามหญ้าที่มีคุณภาพดีเหมือนกัน
การตัดหญ้า
ควรตัดในระยะ
0.75 - 1.5 นิ้ว โดยตัดทุก ๆ 1 - 2 สัปดาห์ เพราะด้วยเหตุที่ว่า
หญ้านี้จะมีช่อค่อนข้างยาว ดอกมีสีน้ำตาลออกดก จึงทำให้สนามหญ้าไม่สวยในเวลาออกดอก
จำเป็นต้องคอยระวังกำจัดช่อดอกให้หมด ในช่วงฤดูกาลออกดอก เครื่องตัดหญ้าทั่ว ๆ
ไปก็ใช้ได้ แม้กระทั่งกรรไกร หรือรถเข็นหญ้าก็ได้
หญ้ามาเลเชีย
มีด้วยกัน 2 ชนิด
1. Common
Carpet Grass
เป็นหญ้าดั้งเดิมของอเมริกา
ในแถบร้อน ซึ่งก็ปลูกกันทั่ว ๆ ไปในเขตร้อน และร้อนชื้น ใบกว้างประมาณ 2 - 6 มิลลิเมตร มีจำกัด คือ ช่อดอกย่อย
จะมีลักษณะรูปไข่ปลาย จะแหลม
2. Tropical
Carpet Crass
เป็นหญ้าที่ขึ้นอยู่ในแถบอเมริกากลาง
อเมริกาตอนใต้ แถวเม็กซิโก บราซิล และหมู่เกาะอินเดียตะวันออก
แล้วนำมาปลูกในเขตร้อน ทนต่อ อุณหภูมิต่ำสู้ไม่ได้ แต่ก็
สามารถปรับตัวได้ดีในดินที่แห้งแล้ง มีใบกว้างประมาณ 2.0 - 2.5 มิลลิเมตร ใบมีขน ช่อดอกย่อย
จะเป็นรูปไข่และแหลม หญ้ามาเลเชียชนิดนี้ นิยมปลูกในประเทศไทย
สำหรับในเมืองไทยปลูกกันมานานแล้วในสวนยางพาราภาคใต้
ติดกับประเทศมาเลเชีย ซึ่งเราเรียกกันว่า หญ้าเห็บ และในบางท้องที่ก็เรียกว่า
หญ้าไผ่ แต่เมื่อก่อน จะมีการปลูกขาย ก็ได้ตั้งชื่อเสียใหม่ว่า หญ้ามาเลเชีย
จนติดปากกัน มาถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็คิดว่าผู้ที่ปลูกขาย คงต้องการให้เห็นว่า
มาจากเมืองนอก เพื่อให้ถูกใจคนไทย ที่นิยมของเมืองนอก เพื่อให้ขายได้ง่ายและได้ราคาสูง
ซึ่งก็เป็นจริงตามที่คิดไว้
ลักษณะของหญ้ามาเลเชีย
ลำต้น
จะแบนและมีลำต้นบนดินแตกออกทั้ง 2
ข้างของลำต้น ลำต้นบนดินไม่ยาวนัก รากจะแตกออกจากข้อของลำต้นบนดิน ที่เรียกว่า ไหล
เมื่อไหลนี้สัมผัสกับดินรากและลำต้นใหม่ก็จะแตกออกจากข้อของไหล
แล้วเจริญเติบโตแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ใบ
ใหญ่กว่าใบหญ้าทุกชนิด ใบมีสีเขียวอ่อน มีรากตื้น ตัวใบแบน ตรงกลางใบจะหักพับคล้ายหลังคาบ้าน
ขอบใบมีขน ตั้งแต่ข้อต่อระหว่างตัวใบกับก้านใบจนถึง
ยอดของใบในใบแก่จะมีขนเห็นได้ชัดเจนกว่าใบอ่อน และใบอ่อนจะเห็นเป็น
คลื่นมากกว่าใบแก่ ขนที่ใบจะอยู่ด้านหน้าใบ ส่วนทางหลังใบจะเป็นมันไม่มีขน
เส้นกลางใบทางด้านหลังจะนูนเด่นชัดเจน ยอดใบแหลมมน
ดอก
ช่อดอกเกิดจากปล่องสุดท้ายของลำต้น มี 3 - 5 ช่อ ดอกย่อยเป็นรูปไข่แหลม ยาวประมาณ 2.0 - 2.5 ซม.
ในดินที่มีความ
อุดมสมบูรณ์ปานกลางก็สามารถขึ้นได้ดี
และสามารถขึ้นได้ดีในสถานที่ที่มีแสงน้อยหรือร่มรำไร เช่น บริเวณชายคาบ้าน
และอาคาร หรือใต้ต้นไม้ ที่มีแดดรำไร ไม่ชอบที่น้ำขังแฉะ
ถ้าน้ำขังแฉะต้นจะแคระแกร็น ใบจะเหลืองและตายได้ การเจริญเติบโตได้ดี และมีรากแน่น
ถ้าปลูกในที่มีแสงน้อย ถ้าปลูกในที่มีแสงแจ้งมีแดดจัด จะทำให้ต้นแคระ
ข้อปล้องจะสั้นมีสีแดง ส่วนใบก็จะเล็กลงและมีสีแดงด้วย
หญ้านี้มีความต้องการน้ำมาก
ซึ่งก็เนื่องจากมีใบใหญ่ จึงมีการคายน้ำมาก ในฤดูแล้ง ถ้าหากขาดน้ำไปจะเหลือง และชะงักการเจริญ
เติบโต และไม่ทนต่อการเหยียบย่ำ
หญ้ามาเลเชียนี้ไม่ต้องการการเอาใจใส่มากนัก
และไม่ต้องตัดบ่อย ๆ เหมือนหญ้าอื่น ๆ นิยมใช้เป็นหญ้าคลุมหญ้า คลุมวัชพืชใน
สวนยาง สวนผลไม้ทางภาคใต้ เพราะขึ้นได้แน่นดี วัชพืชอื่น ๆ ไม่มีโอกาสขึ้นแซมได้
ประโยชน์
หญ้ามาเลเชียเป็นหญ้าที่ใช้ทำ
สนามหญ้า และจัดสวนหย่อม เช่นเดียวกับ หญ้าชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะในที่ร่มร่ำไร
สามารถเจริญ เติบโต ได้ดีในที่มี ความอุดม สมบูรณ์ต่ำ ไม่ทนต่อดินเค็ม
หญ้ามาเลเชียที่ใช้ปลูกโดยเมล็ด จะสามารถ ป้องกัน การพังทลายของดิน
ในที่มีความลาดชันสูงได้ดีเช่นกัน ทนต่อดินเป็นกรดที่มี pH ประมาณ 4.5 - 5.5 เป็นหญ้าที่ชอบความชื้นสูง
ปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด
การตัดหญ้า ควรตัดในระยะ 1 - 2 นิ้ว โดยตัดทุก ๆ 10 - 15 วัน เครื่องตัดหญ้า สามารถใช้ได้ทุกชนิด
รวมทั้งกรรไกร ก็ตัดได้ไม่กินแรง มากนักเหมือนกับหญ้าญี่ปุ่น
ลักษณะหญ้าญี่ปุ่น
หญ้าญี่ปุ่นนี้
มีถิ่นกำเนิดในแถบแมนจูเรีย ซึ่งบางที่ก็เรียก Kerean Lawngrass เนื่องจากมีการนำเมล็ด
เข้าไปในสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2473
แต่ภายหลังนิยม เรียกกันว่า japanese Lawngrass มากกว่า ซึ่งก็คงเนื่องจากอิทธิพล
ของการจัดสวนญี่ปุ่น ที่ใช้หญ้าชนิดนี้ เป็นส่วนประกอบใหญ่ ก็เลยเรียกว่า
หญ้าญี่ปุ่น ติดปากกันมาทุกวันนี้
เป็นหญ้าที่เจริญเติบโต
ได้ดีในเขตร้อน แต่สามารถเจริญเติบโตได้ในเขตหนาว และแห้งแล้ง ซึ่งมีการเจริญ
เติบโตดีพอสมควร แต่ปลูกในที่ชื่น หรือที่เฉาะไม่ดีนัก กล่าวคือ สามารถทนร่มได้ 50 % ในดินเค็มก็พอจะ ปลูกได้แต่ก็ไม่ดีนัก
ดินที่เหมาะสมกับหญ้านี้ ควรมีความเป็นกรดเป็นด่าง pH ประมาณ 6 - 7 และ หญ้าก็ยัง ชอบขึ้นในดินเหนียวด้วย
หญ้าญี่ปุ่น
มี 2 ชนิด
1. ชนิดใบกว้าง จะมีใบประมาณ 4 มิลลิเมตร
2. ชนิดใบกลม ใบเล็กและละเอียดกว่า
ซึ่งเป็นที่นิยมปลูกในประเทศไทยมาก
ลักษณะของหญ้าญี่ปุ่น
ลำต้น
เป็นพวกเลื้อยตามดิน และลำต้นจะตั้งแข็งทั้งลำต้นบนดิน และลำต้นใต้ดิน
ใบ
ใบสีเขียวเข้ม ใบเล็กละเอียดกลมแข็ง
ปลายใบแข็งและแข็งกระด้างเวลาสัมผัสจะระคายผิวหนัง ขอบใบเรียบไม่มีขน ดอก ช่อดอกสั้น ดอกเล็ก และมีสีน้ำตาลออกดำ
ดอกจะรวมกันแน่นบนก้านดอก ดอกจะบานจากส่วนล่างขึ้นบน
หญ้าญี่ปุ่นนี้
ต้องการน้ำมาก และการเจริญเติบโดช้า ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีกว่าจะขึ้นเต็มสนาม
ถ้าแห้งแล้งนาน ๆ หรือขาดน้ำใบจะเหลืองทันที
เป็นหญ้าที่ทนต่อการเหยียบย่ำพอสมควร
และไม่ค่อยยืดหยุ่นตัวเหมือนหญ้านวลน้อย
เป็นหญ้าที่ต้องการปุ๋ยไม่มากนัก
ทนต่ออากาศหนาวได้ดี อาจทนได้ถึงประมาณ 10 - 20 องศต่อโรคหรือแมลงต่าง ๆ
ได้มากกว่าหญ้าชนิดอื่น
หญ้าญี่ปุ่นนี้เจริญเติบโตช้า
แต่เมื่อขึ้นแล้วจะหนาแน่นมาก ขึ้นคลุมดินวัชพืชไม่สามารถขึ้นแข่งได้ การแต่งไม่บ่อยนัก
เพราะเจริญเติบโตช้า ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ ก็จะเป็นกระจุก การตัดแต่งลำบาก
การตัดแต่ง หญ้าญี่ปุ่นชนิดนี้จำต้องตัดให้สั้นประมาณ 0.5 - 1.0 นิ้ว โดยตัดทุก ๆ 5 - 10 วัน ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานวัน
หญ้าจะขึ้นเป็นจุก เมื่อตัดหญ้าจะมีสีเหลืองเป็นหย่อม ๆ มองดูแล้วหน้าเกลียด
ไม่สวยงาม ซึ่งเป็นข้อเสียของหญ้าชนิดนี้
เนื่องจากหญ้าญี่ปุ่นมีลำต้นและใบแข็งกระด้างมาก ดังนั้นการใช้เครื่องตัดหญ้า
ต้องมีกำลังสูง และมีใบมีด ที่คมมาก ใช้กรรไกรตัดไม่กี่วันก็หมดแรง
เพราะมันขึ้นเป็นกระจุกทำให้ตัดยาก ลำต้น และใบก็เหนี่ยวด้วย ซึ่งทำให้กินแรงใน
การตัดมาก แม้กระทั่งใช้ เครื่องตัดหญ้า ก็ต้องลับมีดบ่อยครั้ง เพื่อให้คมอยู่เสมอ
การขยายพันธุ์ สามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด และใช้ส่วนต่าง ๆ
ปลูก เช่น ลำต้น เหง้า ไหล แต่นิยมกันมากก็ใช้ส่วนต่าง ๆ โดยปลูกแยกต้นปลูก
การปลูกเป็นกระจุก และการปูเป็นแผ่น ๆ
ส่วนการปลูกด้วยเมล็ดไม่นิยมเพราะการเจริญเติบโตช้ามาก
ข้อดี
เป็นหญ้าที่เล็กมองดูแล้วสวยงามดี เหมาะสำหรับปลูกเป็นสวนหย่อม
และพื้นที่ก็ควรไม่กว้างมากนัก และใช้ปลูกในบริเวณ ที่เป็นทางเข้าได้ดี
เพราะสามารถป้องกัน และควบคุมไม่ให้บุกรุกบน ทางเท้า ได้ง่ายกว่าหญ้าชนิดอื่น ข้อจำกัด ใบหญ้าจะแข็งกระด้าง
และปลายใบเล็กเรียวแหลม ทิ่มตำระคายผิวหนัง การตัดลำบากและกินแรงมาก
เป็นหญ้าที่รู้จักกันมานานแล้ว
จนกระทั่งถือว่า เป็นสัญญาลักษณะ ในพิธีไหว้ครู ซึ่งหญ้าแพรกนี้หมายถึง
ความแตกแขนงของปัญญา ดุจการเจริญเติบโตแตก แขนงของหญ้ากับ นักเรียน ด้วยการ
ที่เรารู้จัก หญ้าแพรกกันนาน ทำให้มองข้ามไปว่า หญ้าชนิดนี้
ก็สามารถนำมาปลูกเป็นสนามได้
ลักษณะทั่วไป
หญ้าแพรก
(ชื่อวิทยาศาสตร์: Cynodon
dactylon; อังกฤษ:
Burmuda Grass หรือชื่ออื่นว่า dūrvā grass, Dubo, Dog's Tooth Grass,
Bahama Grass, Devil's Grass, Couch Grass, Indian Doab, Grama, and Scutch Grass)
เป็นพื้ชพื้นเมืองใน ทวีปเอเชีย
ทวีปออสเตรเลีย และยุโรปใต้ ส่วนชื่อ Burmuda Grass มาจากการที่มันเป็นพืชต่างถิ่นรุกรานในเบอร์มิวดา
แต่ไม่ได้เกิดขึ้นที่นั่น ในประเทศไทย ชาวเหนือ เรียกว่า "หญ้าเป็ด"
ส่วนชาวกะเหรี่ยง เรียกว่า "หน่อเก่เด"
ลำต้น
จะค่อนข้างแบน และจะตั้งตรงหรือโค้งจาก ฐานของลำต้น มีทั้งลำต้นใต้ดิน
และลำต้นบนดิน ซึ่งแตกแขนงออก มาแล้วมีรากที่ข้อ
ใบ
ค่อนข้างบางใบเรียวแหลม ขอบใบมีขนเล็ก ๆ ใบมีสีเขียงเข้ม เนื้อใบค่อนข้างหยาบ
ดอก
ช่อดอกจะเป็นสามเหลี่ยม และมีดอกย่อยอยู่ 4 -5 แขนง
ต้องการแสงแดดเต็มที่ในการเจริญเติบโต
จึงจะได้หญ้าที่ดี ถ้าปลูกในที่ร่ม หรือตามชายคาบ้าน ลำต้นจะยาวยืด
ใบหญ้าจะบางอ่อนแอ ทนต่อการเหยียบย่ำดี หาอาหารเก่ง
อาศัยเพียงน้ำค้างก็สามารถเจริญเติบโตได้ และฟื้นตัวเร็ว
การให้ปุ๋ยนั้นไม่จำเป็นมากนัก
เพราะสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี ดังนั้นการให้ปุ๋ยในอัตราต่ำ
โดยครั้งหนึ่งทิ้งระยะไปอีก 2 - 3
เดือนก็ได้ มีความทนต่อโรคและแมลงได้ดี
การตัดหญ้า
การตัดหญ้าชนิดนี้
จำเป็นต้องตัดบ่อยครั้ง ระยะการตัดที่เหมาะสม 0.75 - 1.5 นิ้ว จากพื้นดิน เพราะหญ้านี้มีความเจริญเติบโต
ทางแนวตั้งมาก จึงต้องตัดต่ำพอสมควร และต้องตัด 1 - 2 อาทิตย์ต่อครั้ง
เพื่อให้ได้หญ้าที่มีคุณภาพการตัดก็ใช้เครื่องตัดหญ้าทั่ว ๆ ไปได้
แม้กรรไกรก็สามารถใช้ได้ในสนามเล็กไม่กว้างมากนัก
การขยายพันธุ์
หญ้าแพรกนี้ปลูกได้ในดินทั่ว
ๆ ไป ได้ดีพอสมควร มีการตอบสนองต่อปุ๋ยและน้ำดี จะขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดก็ได้
หรือแซะต้นหญ้าจาก ริมถนนไปปลูกเป็นจุก ๆ ก็ได้ เพราะไม่มีจำหน่าย หญ้าแพรกนี้
มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือ ต้นมีอายุมากพอสมควร จะสร้างหัวไก่ชูขึ้น พ้นส่วนอื่น
ๆ เห็นได้ชัดเจน ซึ่งหัวไก่นี้สมัยเด็กเราเคยไปถอนมาเล่นตีไก่กัน
ข้อดี
ใบเล็ก
โตเร็ว ทนแล้ง ไม่ต้องเอาใจใส่ดูแลมากนัก เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่กว้าง ๆ ได้ดี
โดยเฉพาะในสนามกีฬาต่าง ๆ ตามริมถนนเพื่อป้องกันการพังทลายของไหล่ถนน
ข้อจำกัด
เป็นวัชพืชง่าย
เพราะมีการเจริญเติบโตเร็ว โดยจะรุกเข้าไปในแปลงหญ้าชนิดอื่น ๆ ที่ปลูกใกล้กัน
และรุกเข้าไปในแปลงดอกไม้ เมื่ออกดอกจะทำให้สนามไม่สวยงาม
และจะเป็นสนามที่แย่มากถ้าขาดการดูแล
ข้อแนะนำ
เมื่อปลูกหญ้าแพรกควรให้น้ำให้ปุ๋ยบ้าง
การตัดก็ให้สม่ำเสมอระวังอย่าให้มีช่อดอกเกิดขึ้น ควรตัดก่อนออกดอกจะดี
หญ้ามาเลเซีย
หญ้านวลน้อย
หญ้าญี่ปุ่น